ผมเคยคิดว่าตนเองจะเอาชนะธรรมชาติได้…
ในตอนเด็ก มีการ์ตูนอยู่เรื่องหนึ่งที่ตัวเอกพยายามฝึกมองรถไฟที่วิ่งไปด้วยความเร็วสูงและเชื่อเอาเองว่า ถ้าเค้าสามารถมองได้ทันเห็นใบหน้าของคนที่นั่งในขบวน และฝึกจนชำนาญ การเป็นนักชกของเค้าจะประสบความสำเร็จเพราะจะมองเห็นและหลบหมัดของคู่ต่อสู้ได้ทัน อาจเป็นเรื่องที่จริงก็ได้และถ้าเป็นเรื่องจริง เค้าคนนั้นก็คงจะดูหนังไม่ค่อยสนุก รวมไปถึงโทรทัศน์ที่ภาพจะกระพริบดับติดๆอยู่ตลอดเวลา
ในตอนเป็นวัยรุ่น หลายคนรวมทั้งผมด้วย เรามักจะขับรถเร็วๆให้ไปถึงที่หมายได้ก่อนคนอื่นๆโดยไม่สนใจว่าข้างทางจะสวยงาม หรือมีอะไรที่น่าสนใจและเราอาจจะพลาดการพบเจอสิ่งที่ดีๆระหว่างทางได้เพราะการใช้ชีวิตในแบบที่ฝรั่งเรียกว่า “Life in the fast lane”
มนุษย์ส่วนใหญ่คงพยายามเป็นเช่นนักชกในการ์ตูนเรื่องนั้น หลายสิ่งในโลกเราตอนนี้ถึงได้กลายมาเป็นอย่างที่เราต้องหันกลับมาตั้งคำถามอย่างทุกวันนี้… ชีวิตเราเร็วไปหรือเปล่า?
เราเบื่อการเดินทางที่ชักช้า เราเบื่อการฟังเสียงรอบข้างโดยเฉพาะที่ดังมาจากคนที่เดินช้ากว่าเรา เราเบื่อสิ่งที่เป็น Analog แล้วผละไปสู่ความเป็น Digital ด้วยใจจดจ่อ และคนส่วนใหญ่ก็จะไม่สนใจชีวิตที่เร็วขึ้นๆๆอย่างผิดธรรมชาติแบบทุกวันนี้ ตราบใดที่ฟันเฟืองแห่งชีวิตของเค้ายังหมุนได้อยู่
ที่พูดมายืดยาว ก็แค่อยากจะเกริ่นนำสักหน่อย ก่อนจะพูดถึงเรื่องการหาโอกาสปั่นจักรยานแบบไม่เร่งรีบริมน้ำวังของผมและภรรยา และอีกหลายๆคนในจังหวัดเล็กๆนี้ การที่วันหยุดมาถึงและเรามีเวลาพอที่จะออกไปปั่นจักรยานจากบ้าน เลาะเลียบริมแม่น้ำวังฝั่งโรงเรียนวิชชานารี ผ่านด้านหลัง รพ.แวนแซนต์วู๊ด (ซึ่งแทบจะไม่มีรถใหญ่วิ่งเลย จะมีก็แต่รถมอเตอร์ไซค์บ้างเป็นระยะๆ)ปั่นไปเรื่อยๆจนถึงกาดกองต้าแล้วเลยไปถึงย่านท่ามะโอเมืองเก่านั้น ช่างเป็นความสุขเสียจริงๆสำหรับคนที่เริ่มชื่นชอบกับชีวิตที่เชื่องช้า หลังการปิดร้านที่จตุจักรอันวุ่นวายแล้วหันมาใช้ชีวิตที่นี่เป็นหลัก
การปั่นจักรยานสำหรับเราสองคนที่นี่ ทำให้เราได้หาเรื่องออกกำลังกายมากขึ้น ได้เห็นทิวทัศน์จากอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำวังในแบบเย็นๆใจ อยากจะแวะตรงไหนก็จอดได้ทันที ก่อนจะไปหาอะไรกินกันในเมืองแล้วก็ปั่นกลับเพื่อย่อยอาหารให้หมดไป เสียอย่างเดียวเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับจักรยานแบบเส้นทางนี้มีน้อยไปหน่อย นั่นทำให้เราเบื่อเป็นบางช่วง และอยากลองหาเส้นทางใหม่ แต่ก็ค่อนข้างไม่ปลอดภัยเมื่อเทียบกับเส้นทางนี้ เส้นทางที่ทั้งปลอดภัยและสวยงามแบบนี้น่าจะมีมากๆในเมืองต่างๆของประเทศที่วุ่นวายนี้เพื่อส่งเสริมให้คนหันมาปั่นกันอย่างจริงจัง เช่น ในเดนมาร์คหรือเนเธอร์แลนด์ ที่เราสามารถปั่นไปทำงานทั้งเช้าและเย็นได้ทุกๆวัน ลำพังในลำปางเอง หากจะปั่นเข้าไปในเมืองตามเส้นทางปกติ ต้องบอกตามตรงด้วยภาษาไม่สุภาพว่า เสียวตู..จริงๆ ยิ่งถ้ามีเด็กๆไปด้วยล่ะก้อ!!!ไม่แนะนำครับ
เส้นทางนี้ จะเริ่มต้นที่บริเวณฝายน้ำแม่วังเฉลิมพระเกียรติ หรือเขื่อนยางที่คนท้องถิ่นจะรู้จักกันดี ที่สำคัญที่นี่จะมีลานจอดรถขนาดใหญ่ที่เราสามารถทิ้งรถยนต์ไว้ได้อย่างปลอดภัย แล้วหอบจักรยานข้ามสะพานแขวนที่สวยงามของจังหวัดลำปาง ที่นี่จะเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยงาม และเหมาะแก่ผู้ที่ชอบถ่ายรูปอย่างมากๆๆๆ จากนั้น ก็ปั่นเลียบฝั่งแม่น้ำไปเรื่อยๆ โดยเราสามารถแวะกินอะไรข้างทางได้หากต้องการ แต่จุดที่ของกินมีให้เลือกมากมายนั้น จะอยู่แถบกาดกองต้าและบริเวณโดยรอบ ต้องลองกันดูครับ เพราะบางเจ้าคนว่าอร่อย เราอาจไม่ชอบก็ได้ จากนั้น ก็ข้ามสะพานอีกครั้งเป็นสะพานปูนขนาดเล็ก ข้ามได้เฉพาะรถสองล้อ
โดยจุดนี้ เราสามารถตรงเข้าไปยังกาดกองต้าได้ หากเป็นช่วงเย็นวันเสาร์ และอาทิตย์จะมีของกินเต็มไปหมด แต่เราต้องจูงรถเอาครับ ห้ามขี่โดยมารยาท จากนั้นก็กลับมาที่สะพานแล้ววิ่งเลาะแม่น้ำฝั่งเดียวกับกาด ไปเรื่อยๆจนเจอสะพานรัษฎา ลอดใต้ไปจนเจอสะพานช้างเผือกก็ข้ามไปอีกฝั่ง (ฝั่งนี้ ก็มีร้านอาหารอร่อยๆหลายร้าน รวมถึงกาดหัวขัว (ตลาดหัวสะพานรัษฎา) ซึ่งเราสามารถแวะซื้อของกินได้แต่ต้องระวังรถหายด้วยหากเป็นจักรยานไฮโซ สำหรับของผมจักรยานโลโซ…ไม่น่าห่วงครับ) แล้วก็วนกลับมาทิศเดิมจนเจอสะพานเล็กสำหรับรถสองล้อ แล้วก็ขี่กลับเลียบแม่น้ำมาทางเดิมจนเจอเขื่อนยาง เป็นอันจบทริป
ถ้าได้มีโอกาสมาลำปาง อยากให้หาเวลามาลองปั่นกันตามเส้นทางนี้ดูนะครับ รับรองจะติดใจ…
Leave A Comment